12 กุมภาพันธ์ 2556

แบบทดสอบก่อนเรียน

1.สนธิสัญญาฉบับใดที่เป็นสาเหตุนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่2
 สนธิสัญญาเบอร์ลิน
 สนธิสัญญาโลซานน์
 สนธิสัญญาแวร์ซายส์
 สนธิสัญญาแซงแยร์แมง
2.ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่2 เยอรมนีต้องการโปแลนด์เพราะเหตุใด
โปแลนด์มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์
โปแลนด์มีดินแดนอาณานิคมมาก
โปแลนด์มีดินแดนเหมาะในการตั้งฐานทัพ
เป็นดินแดนที่แบ่งแยกเยอรมนีออกเป็น2ฝ่าย
3.ชนวนที่นำไปสู่สงครามโลกครั้งที่2 มีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ใด
เยอรมนีโจมตีเมืองดานซิก
มงกุฏราชกุมารของออสเตรีย-ฮังการี ถูกลอบปลงพระชนม์
เยอรมนีผนวกออสเตรีย แคว้นซูเดเตน เช็กโกสโลวาเกีย
เยอรมนีรุกรานดินแดนแคว้นไรน์
4.สงครามโลกครั้งที่2ดำเนินไปจนกระทั่งสิ้นสุดในปีค.ศ.ใด
1941
1943
1945
1947



5.ฝ่ายสัมพันธมิตรประกอบไปด้วยประเทศอะไรบ้าง
อังกฤษ ฝรั่งเศส และสหภาพโซเวียต
อังกฤษ ฝรั่งเศส และอเมริกา
อังกฤษ อเมริกา และสหภาพโซเวียต
ฝรั่งเศษ อเมริกา และสหภาพโซเวียต
6.ฝ่ายอักษะประกอบไปด้วยประเทศอะไรบ้าง
เยอรมัน สหภาพโซเวียต และญี่ปุ่น
เยอรมัน อิตาลี และญี่ปุ่น
สหภาพโซเวียต อิตาลี และญี่ปุ่น
สหภาพโซเวียต อิตาลี และจีน
7.สงครามครั้งนี้ฝ่ายใดเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ
ฝ่ายสหประชาชาติ
ฝ่ายคอมมิวนิสต์
ฝ่ายอักษะ
ฝ่ายสัมพันธมิตร
8.หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่2 ประเทศฝ่ายสัมพันธมิตรได้ก่อตั้งองค์การอะไรขึ้น
องค์การนาโต้
องค์การนาซ่า
องค์การสหประชาชาติ
องค์การยูเนสโก้
9.ผู้เสียชีวิตในสงครามครั้งนี้คาดว่ามีประมาณกี่ล้านคน
ประมาณ50ล้านคน
ประมาณ60ล้านคน
ประมาณ70ล้านคน
ประมาณ80ล้านคน
10.หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่2ส่งผลให้ประเทศอะไรกลายเป็นประเทศมหาอำนาจ
อังกฤษ กับ ฝรั่งเศส
อังกฤษ กับ อเมริกา
อเมริกา กับ ญี่ปุ่น
เมริกา กับ สหภาพโซเวียต

สงครามโลกครั้งที่ 2 (World War II)

          สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1939-1945 มีระยะเวลา 6 ปี สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยสรุปมีดังนี้

          1) ความไม่พอใจของฝ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งมีต่อข้อตกลงสันติภาพหลังสงครามครั้งนั้น โดยเฉพาะสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ที่ทำให้เยอรมนีไม่พอใจเพราะมุ่งลงโทษเยอรมนี ยังส่งผลให้เยอรมนีใช้เป็นข้ออ้างในการก่อการสงคราม

          2) นโยบายสร้างชาติภายใต้ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จของ 3 ชาติ คืออิตาลี มีลัทธิฟาสซิสต์เป็นหลักในการปกครอง ส่วนเยอรมนีใช้ลัทธินาซี และญี่ปุ่นมีลัทธิการทหารเป็นแกนหลัก กอปรกับนโยบายลัทธิชาตินิยมของทั้ง 3 ชาติ กล่าวคือ ญี่ปุ่นนำคำสอนทางศาสนาชินโตมาชี้นำ อิตาลีมุ่งหวังจะสร้างประเทศให้ยิ่งใหญ่เหมือนสมัยจักรวรรดิโรมัน ส่วนเยอรมนีพยายามใช้นโยบายเชื้อชาติอารยันที่ยิงใหญ่มากระตุ้นความรู้สึกของคนในชาติว่ามีศักดิ์ศรีเหนือเผ่าพันธุ์อื่น

          3) ความไม่พอใจของฝ่ายอักษะ คือ เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น ต่อสถานภาพที่เป็นอยู่ในขณะนั้น คือ ไม่มีดินแดนจะขยาย ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติเพียงพอเหมือนมหาอำนาจอื่นๆ จึงจำเป็นต้องแสวงหาเมืองขึ้นโดยใช้สงครามเป็นเครื่องมือ

          4) ความล้มเหลวของสันนิบาตชาติ ในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

          5) สาเหตุปัจจุบันที่เป็นชนวนระเบิดสงครามโลกครั้งที่ 2 คือ การที่เยอรมนี ยกกองทัพบุกโปแลนด์ ซึ่งมหาอำนาจตะวันตก คือ อังกฤษและฝรั่งเศสได้ลงนามในสัญญาค้ำประกันอธิปไตยไว้ อังกฤษและฝรั่งเศสยื่นคำขอให้เยอรมนีถอนทหารออกจากโปแลนด์ เมื่อ ฮิตเลอร์ไม่ปฏิบัติตาม ทั้งสองประเทศจึงประกาศสงครามกับเยอรมนี เมื่อวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 1939 สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเริ่มขึ้นนับแต่นั้น 

ผลของสงครามโลกครั้งที่2


          ก่อให้เกิดผลลบทางด้านเศรษฐกิจอย่างมาก คือ ทำให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจแก่ประเทศคู่สงคราม ทั้งผู้ชนะและผู้แพ้ ความสูญเสียนั้นมากมายกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ประมาณการว่าค่าใช้จ่ายทางทหารมากกว่า 1,100,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเสียหายทางด้านทรัพย์สินกว่า 230,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ประเทศที่เข้าร่วมสงคราม ส่วนใหญ่ต่างต้องเผชิญปัญหาทางด้านเศรษฐกิจภายหลังสงครามสงบแล้ว เว้นแต่สหรัฐอเมริกามิได้ประสบปัญหาเศรษฐกิจมากนัก และหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกากลายเป็นประเทศที่มีกำลังทางเศรษฐกิจเข้มแข็งที่สุดในโลก นอกจากนี้ ยังเกิดการแข่งขันกันทางด้านอุดมการณ์ทางการเมือง ระหว่าง สหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียต จนกลายเป็นสงครามที่ทั่วโลกรับรู้ว่า สงครามเย็น

เหตุการณ์ของสงครามโลกครั้งที่2


  • เยอรมนีโจมตีโปแลนด์ เมื่อ 1 กันยายน 1939
  • วันที่ 3 กันยายน 1939 อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศสงครามกับเยอรมนี
เยอรมนีทำการลบแบบสายฟ้าแลบ ได้ชัยชนะอย่างรวดเร็ว ได้ดินแดนโปแลนด์ เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม เดนมาร์ก และฝรั่งเศส โจมตีอังกฤษ รัสเซีย ทางอากาศ ซึ่งเป็นสงครามทางอากาศที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สงครามในระยะแรกสัมพันธมิตรแพ้ทุกสนามรบ

อังกฤษและฝรั่งเศสประกาศเข้าร่วมสงคราม ด้านมหาสมุทรแปซิฟิก ญี่ปุ่นบุกแมนจูเรีย(จีน)ในปี ค.ศ.1931 และเสนอแผนการที่จะสถาปนา วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพาเพื่อผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจและด้านอื่นๆ ญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่ อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 สหรัฐจึงเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง โดยประกาศสงครามเข้าร่วมกับฝ่ายพันธมิตร ขณะเดียวกันญี่ปุ่นเปิดสงครามในตะวันออกเฉียงใต้หรือเรียกว่า สงครามมหาเอเชียบูรพา

เมื่อเริ่มสงคราม สหรัฐอเมริกาวางตัวเป็นกลาง แต่เมื่อญี่ปุ่นโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาเบอร์ซึ่งเป็นฐานทัพของสหรัฐอเมริกา ในมหาสมุทรแปซิฟิก เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 1941 สหรัฐอเมริกาจึงเข้าร่วมในสงครามโลกครั้งที่ 2 กับอังกฤษและฝรั่งเศส ทำให้ฝ่ายพันธมิตรมีชัยชนะ เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 1945

ในระยะแรกของสงครามฝ่ายอักษะได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่หลังจากวัน D-Day (Decision - Day) ซึ่งเป็นวันที่สัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกที่มอร์มังดี (Nomandy)ประเทศฝรั่งเศสด้วยกำลังพลนับล้านคน เครื่องบินรบ 11,000 เครื่อง เรือรบ 4,000 ลำ วิถีของสงครามจึงค่อย ๆ เปลี่ยนด้านกลายเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรได้เปรียบ

การรบในแปซิฟิก ญี่ปุ่นเป็นคู่สงครามกับสหรัฐอเมริกา สงครามก็ยุติลงอย่างเป็นรูปธรรมด้วยชัยชนะของฝ่ายสัมพันธมิตรโดยการทิ้งระเบิดปรมาณูลูกแรกชื่อลิตเติลบอย ที่เมืองฮิโรชิมา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 1945 และลูกที่ 2 ชื่อแฟตแมน ที่เมืองนางาซากิ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 1945 และวันที่ 14 สิงหาคม 1945 ประเทศญี่ปุ่นประกาศยอมแพ้ เมื่อญี่ปุ่นเซ็นต์สัญญาสงบศึกกับสหรัฐอเมริกาบนเรือรบมิสซูรี ในวันที่ 14 สิงหาคม 1945 

การยุติลงของสงครามโลกครั้งที่2


  • พันธมิตรยกพลขึ้นบกที่ ชายฝั่งแคว้นนอร์มังดี วัน D-DAY
  • สงครามโลกในยุโรปสิ้นสุดลงเมื่อกองทัพสัมพันธมิตรบุกเข้าเบอร์ลินในเดือนมิถุนายน ค.ศ.1944
  • เมื่อสหรัฐอเมริกาทิ้งระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิโรชิมาและเมืองนางาซากิ ในวันที่ 6และ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945
ใน ค.ศ. 1943 สัมพันธมิตรได้ประชุมกันที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา ประเด็นสำคัญของการประชุมคือ กองกำลังของสัมพันธมิตรจะบุกเข้าไปถึงใจกลางของเยอรมนีและทำลายกองทัพเยอรมนีลงให้ได้ โดยมีนายพลไอเซนเฮาว์ (Eisenhower) เป็นผู้บัญชาการของสัมพันธมิตรในยุโรปตะวันตก การปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด (Operation Overlord) นับเป็นการบุกฝรั่งเศสครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ ฝ่ายสัมพันธมิตรประกอบด้วยทหารสหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา และฝรั่งเศส จำนวน 155,000 คน บุกขึ้นฝั่งนอร์มังดี ทางเหนือของฝรั่งเศส ในวันที่ 6 มิถุนายน 1944 เรียกว่าวัน D – Day (Decision Day) 

บุคคลสำคัญสมัยสงครามโลกครั้งที่2

โจเซฟ สตาลิน (Joseph Stalin) ปี1879-1953
                หลังจากเลนินเสียชีวิตในปี 1924 สตาลินกายเป็นผู้นำของสหภาพโซเวียต เขามีอำนาจอยู่ 24 ปี ในช่วงเวลานั้น เขาปกครองโซเวียตอย่างน่าหวาดกลัว ผู้คนนับล้านเสียชีวิตเพราะการกระทำของเขา สตาลิน ควบคุมกองกำลังติดอาวุธด้วยตนเองในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเรียกร้องให้ชาวโซเวียตต่อสู้กับเยอรมนี เมื่อสงครามยุติ สตาลินมุ่งมันว่าประเทศของเขาจะต้องไม่ถูกคุกคามอีกต่อไป เขาจัดตั้งรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่เป็นมิตรทั่วยุโรปตะวันออก ด้วยความที่เขาไม่ไว้ใจยุโรปตะวันตกและสหรัฐอเมริกาทำให้เกิดสงครามเย็นขึ้น สตาลินเสียชีวิตในวันที่ 5 มีนาคม ปี 1953



10 กุมภาพันธ์ 2556

ระบบอาวุธบางส่วนที่ใช้ในสงครามโลกครั้งที่2


ระบบอาวุธปืน
1. ปืนเล็กยาวจู่โจม Sturmgewehr (St.G.) 44 ขนาด 7.92 มม. ของเยอรมัน แมกกาซีนบรรจุกระสุน 30 นัด อัตราการยิง500 นัดต่อนาที ผลิตออกมาเดือนละ 5,000 กระบอก ตั้งแต่ปี 2487 หนัก 11.5 ปอนด์ ยาวตลอด 37 นิ้ว
2. ปืนเล็กยาวกึ่งอัตโนมัติ Gewehr 43 (G43) พวกซุ่มโจมตีเชคโกใช้กันมาก และกองทัพบกเชคโกก็ใช้หลังสงคราม ติดกล้องเล็งแมกกาซีนบรรจุกระสุน 10 นัด หนัก 9.5ปอนด์ ยาว44 นิ้ว ความเร็วปลำกล้อง 2,550 ฟุตต่อวินาที
3. ปืนกลหนัก บราวนิ่ง “50นิ้ว เอ็ม2 ของกองทัพบกสหรัฐ น้ำหนัก 81 ปอนด์ ลำกล้อง 36 หรือ 45 นิ้วระบายความร้อนด้วยอัตรายิง 400-500 นัดต่อนาที อัตราเร็วปากลำกล้อง 2,3930 ฟุตต่อวินาที พิสัยยิ่งสูงสุด 7,200 หลา
4. เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง ขนาด 2.36 นิ้ว รู้จักกันในชื่อ บาซูก้า เล็งจากระยะ100-400 หลา น้ำหนัก 12 ปอนด์ ยาว 54 นิ้ว บรรจุทางท้าย จรวดสามารถเจาะเกราะได้
5. เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง พี ไอ เอ ที ของอังกฤษ ยิงจรวดขนาด 3 ปอนด์
6. เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังของเยอรมัน ขนาด 8.8 ซม. แบบ Raketenpanzer-buchse 54/1 หนัก 21 ปอนด์ หนักกว่า บาซูก้า จรวดสามารถเจาะเกราะลึก 6 นิ้ว ในทางลาด 40 องศา ยิงได้ไกลถึง 220 หลา
7. ปืนกลหนัก DShk 12.7 มม. M 1938/46 ของโซเวียต ใช้เป็นปืนต่อสู้อากาศยานและปืนภาคพื้นดิน ตอนปลายสงครามติดตั้งกับยานเกราะหรือรถพ่วงขนาดเล็ก ยาว 62.5 นิ้ว น้ำหนัก 78.5 ปอนด์ อัตราการยิง 540-600 นัดต่อนาที ระบายความร้อนด้วยอากาศสามารถเปลี่ยนลำกล้องได้ง่าย อัตราเร็วปากลำกล้อง 2,822 ฟุตต่อวินาที ติดกล้องส่องด้วย

ระบบอาวุธรถถัง

1.            Pzkw(Panzerkampfwagen)Iหรือ แพนเซอร์ มาร์ค 1
รถถังเบาสำหรับสนับสนุนทหารราบของกองทัพนาซีเยอรมัน ที่ได้สร้างหลังจากการถูกจับเซ็นสนธิสัญญาแวร์ซายส์ เยอรมันได้ออกแบบในช่วงทศวรรษที่1930 และได้ทำการผลิตแบบจำนวนมากเมื่อปี1934 และเยอรมันยังได้ส่งแพนเซอร์ 1 ไปรบเพื่อเป็นการทดสอบประสิทธิภาพในสงครามกลางเมืองสเปน และ จีน ยังได้ซื้อไปใช้ในสงครามจีน-ญี่ปุ่นด้วย
หลังการประเมินผลในการรบในสเปน แพนเซอร์ 1 รบได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อสงครามโลกระเบิดขึ้น จึงได้เข้าร่วมสมรภูมิหลายแห่ง แต่ช่วงกลางสงคราม รถถังรุ่นใหม่ๆของกองเยอรมันมีอานุภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ แพนเซอร์ 1 จึงลดบทบาทลง และมีการนำตัวถังรถ มาติดตั้งปืนขนาด 75 มม. เพื่อเป็นปืนใหญ่อัตตาจรและรถพิฆาตรถถังด้วย
2.            Pzkw II หรือ แพนเซอร์ 2
รถถังรุ่น2ของกองทัพเยอรมันเพื่อทดแทนรถถังแพนเซอร์ 1 มีความแข็งแกร่งกว่าแพนเซอร์ 1 ทำการผลิตในปี1934 โดยศึกษาจากการทดลองใช้แพนเซอร์ 1 รุ่นติดปืน 20 มม.ในสงครามกลางเมืองสเปน แพนเซอร์2 จึงติดตั้งปืนต่อสู้รถถัง 20มม. เพื่อใช้ในการต่อต้านยานยนต์ของข้าศึก แพนเซอร์ 2 เป็นกำลังหลักของเยอรมันในการรบที่โปแลนด์ในปี1939 และเป็นกำลังสำคัญในการรุกสู่ฝรั่งเศสในปี1940  และประสิทธิภาพอันน่ากลัวของรถถังโซเวียต แพนเซอร์ 2 จึงไม่ได้ใช้ในการรบแนวหน้า แต่มีการเอาตัวถังรถมาติดปืนใหญ่75 มม. เพื่อเป็นรถพิฆาตรถถัง และติดปืนใหญ่สนาม105 มม. เพื่อใช้เป็นปืนใหญ่อัตตาจร ในชื่อ เวปส์(Weps) 

3.            Pzkw III (แพนเซอร์ 3 )
รถถังแบบ3ของกองทัพเยอรมัน ออกแบบในทศวรรษที่1930 และเป็นกำลังหลักของเยอรมันแทบในทุกสมรภูมิ มันถูกออกแบบมาให้ใช้งานในการต่อต้านรถถัง ซึ่งต่างจาก แพนเซอร์ 1 และ แพนเซอร์ 2 ที่เน้นการใช้งานในด้านสนับสนุนทหารราบ ด้วยอาวุธทรงอานุภาพขึ้น คือ ปืนต่อสู้รถถัง 37 มม. และต่อมาติดปืน 50 มม. จึงทรงอานุภาพมากในการต่อสู้กับรถถังข้าศึก
ปี1934 นายพลไฮนซ์ กูเดเรียน แห่งกองทัพบกเยอรมัน ต้องการรถถังที่น้ำหนักไม่เกิน24ตัน ความเร็ว35กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพื่อเป็นรถถังหลักของหน่วยแพนเซอร์ แพนเซอร์ 3 จึงผลิตออกมาเพื่อตอบสนองความต้องการนั้น และแพนเซอร์ 3 ยังมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งคือ มีการใช้ระบบแหนบรองรับน้ำหนักตัวรถแบบ ทอร์ชั่น บาร์ หรือแหนบรูปปีกนก ซึ่งเป็นระบบใหม่ล่าสุดของโลกในยุคนั้น และเป็นรถถังรุ่นแรกของโลกที่ใช้ระบบนี้ด้วย
แพนเซอร์ 3 เป็นกำลังหลักของเยอรมัน ใช้ในการรบตั้งแต่โปล์แลนด์ นอร์เวย์ ฝรั่งเศส แอฟริกาเหนือ และแนวรบด้านรัสเซีย ซึ่งในด้านรัสเซียนี่เอง แพนเซอร์ 3 ต้องเผชิญหน้ากับ T-34 รถถังกลางของโซเวียต ซึ่งมีอานุภาพสูงกว่า เยอรมันจึงต้องนำ แพนเซอร์ 3 ไปติดตั้งปืนต่อสู้รถถังขนาด 75 มม. เพื่อต้านทานรถถังโซเวียตร่วมกับรถถังรุ่นใหม่ๆที่มีจำนวนน้อยของเยอรมันใน ช่วงนั้น โดยได้สร้างเป็นรถถังแบบไม่มีป้อม ติดปืน 75 มม. ใช้ชื่อว่า Stug III


4.            Pzkw IV แพนเซอร์ 4
เป็นรถถังที่เป็นกระดูกสันหลังแห่งกองทัพรถถังของเยอรมันอย่างแท้จริง มีความคล่องตัวสูง มีอานุภาพทำลายสูง รถรุ่นนี้เริ่มออกแบบในปี1934 เมื่อนายพลเอก ไฮนซ์ กูเดเรียน เจ้ากรมสรรพาวุธทหารบกเยอรมัน ต้องการรถถังหลักที่มีน้ำหนักไม่เกิน24ตัน ความเร็วไม่ต่ำกว่า35กม./ชม. เพื่อใช้ในภารกิจต่อต้านทหารราบและยานยนต์ และติดตั้งปืนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งผลที่ได้ขั้นแรกคือ แพนเซอร์ 3 และแพนเซอร์ 4 ก็ปรากฏตัวออกมาในปี1937 ในรุ่นผลติจำนวนแรกๆ37คัน และก็มีการผลิตเป็นจำนวนมากตั้งแต่ปี1939 นอกจากจะใช้ระบบแหนบรองรับตัวถังแบบทอร์ชั่น บาร์ แบบแพนเซอร์ 3 แล้ว แพนเซอร์4 นั้น ได้ติดตั้งปืนที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยช่วงแรกได้ติดปืนใหญ่ลำกล้องสั้นขนาด 75 มม. L24ซึ่งได้ใช้เป็นหัวหอกในการบุกฝรั่งเศสในปี1940 โดยแพนเซอร์ 4 มีอานุภาพสูงกว่ารถถังแบบเรอโนลและโซมัวของฝรั่งเศส และยังมีอำนาจการยิงที่สูงกว่ารถถังแบบ ชาร์ล BI ของฝรั่งเศสและรถถังแบบมาทิลด้าของอังกฤษด้วย แพนเซอร์ 4 รุ่นนี้ก็ยังได้ปฏิบัติการในแอฟริกาเหนือด้วย


5.            Pzkw V Panther แพนเซอร์ 5 สมญานาม แพนเธอร์(เสือดำ)
หนึ่งในตำนานรถถังของนาซีเยอรมัน โดยการออกแบบเริ่มในปี1941 เมื่อเยอรมันบุกรัสเซีย และไปพบกับรถถังแบบ ที-34 ของรัสเซีย ที่มีความเร็วสูง ติดปืนที่ทรงอานุภาพ สายพานกว้างเกาะถนนได้ดี และลักษณะพิเศษคือ มีเกราะที่ลาดเอียง มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความหนาของเกราะโดยไม่ต้องเพิ่มขนาดเกราะ และยังช่วยลดการปะทะโดยตรงของกระสุนปืน ทำให้ฝ่ายเยอรมันตกใจในอานุภาพที่สูงส่งของที-34มาก เมื่อยึดรถถังรุ่นนี้ได้ในสนามรบ จึงได้นำมาศึกษา และต้องการผลิตรถถังแบบที-34 ให้ได้ แต่ทว่า การผลิตรถถังเลียนแบบที-34นั้น เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ จึงต้องออกแบบรถถังใหม่โดยให้คุณลักษณะแบบที-34
และสิ่งที่ได้จากทดลองผลิตคือ รถถังแบบ แพนเซอร์ 5 หรือแพนเธอร์ ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือน ที-34 แต่สิ่งที่เหนือกว่าคือ ขนาดที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย เกราะที่หนากว่า และติดตั้งปืนใหญ่ 75 มม. L70 ลำกล้องยาว ซึ่งมีอานุภาพการทำลายล้างที่เหนือจินตนาการอย่างมาก สามารถยิงเจาะเกราะได้ลึกมาก และยิงต่อต้านรถถังได้ไกลกว่า 2,000 เมตร อย่างแม่นยำ ไกลกว่ารถถังทุกรุ่นของพันธมิตรและโซเวียต


6.            Pzkw VI Tiger แพนเซอร์ 6 ไทเกอร์
สุดยอดแห่งตำนานรถถังของนาซีเยอรมันและของโลก ได้รับการกล่าวขวัญว่าเป็นรถถังที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก ถ้าเทียบเรื่องจำนวนในการสังหารรถถังด้วยกัน คำสั่งการออกแบบไทเกอร์ เริ่มในวันที่26พฤษภาคา ปี1941 1เดือนก่อนบุกรัสเซีย โดยมีบริษัทเอกชนสองบริษัทคือ ปอร์เช่ และเฮนเซล เข้าร่วมการแข่งขันออกแบบรถถังไทเกอร์ แต่ว่าป้อมปืนนั้น ถูกแยกไปผลิตและพัฒนาโดยบริษัทกรุ๊ปป์ เมื่อสงครามในรัสเซียอุบัติขึ้น เยอรมันต้องการรถถังหนัก ที่มีความแข็งแกร่งสูง ติดอาวุธทรงอานุภาพเพื่อรับมือกับรถถังรัสเซีย ไทเกอร์ จึงเป็นอาวุธที่มีความจำเป็นยิ่งยวด ทั้งสองบริษัทจึงรีบออกแบบเพื่อให้ชนะการแข่งขันโดยเร็ว แต่การออกแบบของสองบริษัทก็ค่อนข้างต่างกัน เช่น รถของเฮนเซล(VK3601) จะออกแบบให้ปืนประจำรถสามารถใช้กระสุนเจาะเกราะทังสเตนได้ แต่ก็จะเลือกว่าจะติดตั้งปืนใดดีระหว่าง ปืน 75 มม. L70 แบบรถถังแพนเธอร์ และ 88มม. L56 ส่วนรถทดสอบของปอร์เช่(VK3001) จะใช้เครื่องยนต์เบนซิน และติดปืน 88 มม. L 56 เท่านั้น


7.            Weps เวปส์
เป็นปืนใหญ่อัตตาจรของกองทัพเยอรมัน ซึ่งเป็นการเอาปืนใหญ่สนามขนาด 105 มม. มาติดตั้งบนตัวถังของรถถังแบบแพนเซอร์ 2 ซึ่งก่อนจะมีการสร้างเวปส์ เยอรมันได้นำปืน75มม. มาติดตั้งบนรถถังแพนเซอร์ 2 ก่อนแล้ว
ระหว่างการรบในรัสเซีย กองทัพเยอรมันต้องการอาวุธยิงสนับสนุนมาก เวปส์จึงผลิตออกมาเพื่อใช้ยิงปืนใหญ่สนับสนุน มันถูกผลิตออกมาในปี1943 จำนวน575คัน และนำไปออกรบแนวหน้า และได้สร้างชื่อเสียงในการรบเป็นอย่างมาก แต่สายพานการผลิตก็ปิดลงในปี1943 ปีเดียวกัน เพื่อไปผลิตรถพิฆาตรถถังรุ่นใหม่แต่ก่อนปิดสายการผลิตก็ได้ผลิตออกมา ถึง675คัน และก็ทำการรบรับใช้กองทัพเยอรมันจนจบสงคราม

6.            Hummel ฮัมเมล หรือ บัมเบิล บี
ปืนใหญ่อัตตาจร 150 มม. ของเยอรมัน เนื่องมาจากการรบในรัสเซีย กองทัพรัสเซียได้ถาโถมเข้ามามหาศาล    ฮัมเมล จึงถูกผลิตออกมาเพื่อใช้ในการยิงสนับสนุนและต่อต้านการบุกของรถถังรัสเซีย โดยการนำปืนใหญ่สนาม150 มม. มาติดตั้งบนตัวถังรถถังแพนเซอร์ 4 และได้ย้ายเครื่องยนต์มาไว้ส่วนกลางรถ เพื่อความสะดวกของพลยิง และเปิดหลังคาป้อม เพื่อรองรับปืนใหญ่ แต่ฮัมเมล ก็บรรทุกกระสุน150มม. ได้เพียง18นัดเท่านั้น จึงเป็นปัญหาในการรบแบบติดพันเพราะต้องมีรถบรรทุกกระสุนติดตามตลอดเวลา ฮัมเมลเริ่มการผลิตในปี1942 จำนวนแรกกว่า500คัน และกองทัพเยอรมัน ต้องการบรรจุฮัมเมล1กองพันในกองพลยานเกราะ เพื่อใช้ในการสนับสนุนหน่วยยานเกราะด้วย
คำอธิบาย: http://www.panzernet.net/panzernet/fotky/stihace/marder1/006.jpg
7.            Marder มาร์เดอร์
หลังการบุกรัสเซียในปี1941 ปรากฏว่า เยอรมันต้องเผชิญหน้ากับการบุกกระหน่ำอย่างหนักของกองทัพรถถังรัสเซีย จนเยอรมันขาดแคลนรถถังสำหรับใช้ในการรบในแนวหน้า
เพื่อเป็นการแก้ปัญหานี้ เยอรมัน จึงได้ยึดรถถังเก่าๆของชาติที่ถูกยึดครอง มาติดตั้งปืนใหญ่ 75 มม. เพื่อใช้ในภารกิจต่อสู้รถถัง และเป็นต้นแบบในการพัฒนารถพิฆาตรถถังในเวลาต่อมา
ถึงแม้มาร์เดอร์ จะมีปืนที่ทรงอานุภาพ แต่ปัญหาคือ ตัวถังของรถถังที่ยึดมานั้นมีเกราะที่บางมาก(เนื่องจากเป็นรถถังรุ่นเก่า) ทำให้ไม่สามารถต่อสู้ในระยะประชิดกับรถถังได้ จึงใช้ประโยชน์เป็นปืนต่อสู้รถถังอัตตาจร
คำอธิบาย: http://communities.zeelandnet.nl/data/militaria/upload/images/hetzer_2.jpg

8.            Hetzer เฮตเซอร์
ถึงแม้ว่า รถถัง Jagdpanzer 38 หรือ Hetzer จะมีขนาดเล็ก และติดอาวุธไม่หนักมาก คือ ปืนใหญ่ขนาด 75 มม. แต่รถถังรุ่นนี้ก็ได้รับการยอมรับว่า เป็นสุดยอดรถถังล่ารถถังของนาซีเยอรมัน ในสงครามโลกครั้งที่สอง (the best of the German tank-hunter) เพื่อตังถังเตี้ยสังเกตุเห็นได้ยาก วิ่งเร็วคล่องตัว และติดปืนที่มีประสิทธิภาพ (Low, fast, hard-hitting)

9.            Ferdinand / Elephant เฟอร์ดินาน / เอเลแฟนต์
เนื่องจากในโครงการจัดาหารถถังไทเกอร์ รถถังไทเกอร์ต้นแบบของปอร์เช่ พ่ายแพ้ในการแข่งขันเนื่องจากระบบเกียร์และระบบบังคับเลี้ยวมีปัญหา แต่หลังจากการเปิดฉากการรบในรัสเซีย ฮิตเลอร์ ต้องการรถถังติดปืน88มม. L71 ปอร์เช่ จึงรีบพัฒนารถต้นแบบของตนอย่างเร่งรีบ เพื่อติดตั้งปืน88มม.และได้ผลิตออกมาในปี1943 และได้ส่งไปรบในสมรภูมิเมืองเคิร์ส ในชื่อ เฟอร์ดินาน หรือเลเลแฟนต์
คำอธิบาย: http://uc.exteenblog.com/hun-yuri/images/800px-Mrs_18%5b1%5d.jpg

10.    15cm K-18 ปืนใหญ่สนามขนาด15ซ.ม. แบบ เค-18
เป็นอาวุธปืนใหญ่สนามขนาดหนักที่กองทัพเยอรมันใช้งานในสงครามโลกครั้งที่สอง

เป็นรถถังขนาดกลางของโซเวียต ที่ผลิตช่วง ค.ศ. 1940 - ค.ศ. 1958 ได้รับการยอมรับว่าดีที่สุดในโลกช่วงที่สหภาพโซเวียตเข้าร่วมในสงครามโลก ครั้งที่ 2 แม้ต่อมาเกราะและอาวุธของมันจะสู้รถถังรุ่นหลังๆไม่ได้ แต่มันก็ยังได้ชื่อว่าเป็นรถถังที่มีอิทธิพลอย่างมาก ทำการรบได้ดี มีประสิทธิภาพเยี่ยมที่สุดในสงคราม จากความสมดุลของทั้งอำนาจการยิง ความเร็ว และการป้องกันตัว มันเป็นแกนหลักของกองกำลังยานเกราะโซเวียตตลอดสงคราม