การต่อสู้ทางอากาศเป็นสิ่งสำคัญในสงครามโลกครั้งที่สอง
ความสามารถของเครื่องบินในการชี้ตำแหน่ง, ก่อกวน และเข้าสกัดกองกำลังภาคพื้นดินเป็นปัจจัยสำคัญในกองทหารของเยอรมนี
และความสามารถของพวกมันในการครองอากาศเหนือฝ่ายอังกฤษทำให้การรุกรานเยอรมนี เป็นไปไม่ได้
จอมพลของเยอรมนีชื่อเออร์วิน รอมเมลได้ กล่าวถึงกำลังทางอากาศเอาไว้ว่า
"ใครก็ตามที่ต้องต่อสู้แม้มีอาวุธที่ล้ำสมัย
กับศัตรูที่ครองอากาศ จะสู้อย่างดุเดือดต่อทหารของยุโรป ภายใต้อุปสรรคเดียวกันและโอกาสเดียวกันในความสำเร็จ"
ในปีพ.ศ. 2473
สองความคิดที่แตกต่างในการรบทางอากาศเริ่มเกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการพัฒนาเครื่องบินปีกชั้นเดียวที่แตกต่างกัน
ในญี่ปุ่นและอิตาลียังคงมีความเชื่อว่าเครื่องบินขับไล่ที่มีอาวุธขนาดเบาและความว่องไวสูงจะเป็นบทบาทหลักในการต่อสู้ทางอากาศ
เครื่องบินอย่างนากาจิมา เคไอ-27 นากาจิมา เคไอ-43 และมิตซูบิชิ เอ6เอ็ม ซีโร่ในญี่ปุ่น และเฟียท จี.50และแมกชิ ซี.200ในอิตาลีเป็นตัวอย่างชัดเจนในแนวคิดนี้
อีกความคิดหนึ่งซึ่งมีในอังกฤษ
เยอรมนี สหภาพโซเวียต และสหรัฐอเมริกาเป็นหลักคือความเชื่อว่าความเร็วสูงและแรงจีหมายถึงการรบทาง
อากาศที่เป็นไปแทบไม่ได้เลย เครื่องบินขับไล่อย่างเมสเซอร์สมิต บีเอฟ 109 ซูเปอร์มารีน สปิตไฟร์ ยาคอฟเลฟ ยัก-1 และเคอร์ติส พี-40 วอร์ฮอว์คทั้งหมดล้วนถูกออกแบบให้มีความเร็วสูงและอัตราการไต่ระดับที่ดี
ความคล่องตัวนั้นก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ แต่มันไม่ใช่เป้าหมายหลัก
ในยุทธการคัลคีนกอลและการรุกรานโปแลนด์ในปีพ.ศ.
2482 สั้นเกินไปที่พวกเขาจะทดสอบเครื่องบินขับไล่ของพวกเขา
ในสงครามฤดูหนาวกองทัพอากาศฟินแลนด์ที่มีจำนวนมากกว่าได้ใช้รูปแบบฟิงเกอร์-โฟร์ของเยอรมนีเอาชนะกองทัพอากาศของรัสเซียที่มียุทธวิธีที่ด้อยกว่า